PTL เดินเครื่องโรงงานใหม่ “สหรัฐ” หนุนกำลังผลิต “เม็ดพลาสติก” เพิ่มชูมาตรฐาน ISO 50001/OHSAS 18001 การันตีสินค้าคุณภาพในสากล
PTL ประกาศเริ่มเดินเครื่องโรงงานใหม่ในสหรัฐฯ หนุนกำลังผลิตฟิล์ม BOPET และเม็ดพลาสติก เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระดับโลก การันตีสินค้าคุณภาพด้วยมาตรฐาน ISO 50001/OHSAS 18001 มั่นปี 68 มีกำไรเติบโตต่อเนื่อง
นายอมิต ปรากาซ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PTL เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในปัจจุบันมองว่าสถานการณ์ต่างๆ ในอุตสาหกรรมเริ่มมีสัญญานการคลายตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยแนวโน้มอุปสงค์โดยเฉพาะในยุโรปและอินโดนีเซียเริ่มกลับมามีการฟื้นตัว ในขณะที่สต็อกส่วนเกินมองว่าในตอนนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว จากนี้จะเห็นการกลับมาขยายตัวของดีมานด์ในทางที่ดีขึ้น
ด้านโครงการลงทุนสายการผลิตแผ่นฟิล์ม BOPET ชนิดบาง และ Offline Coater ในประเทศสหรัฐอเมริกา เงินลงทุนของทั้ง 2 โครงการอยู่ที่ประมาณ 128 ล้านเหรียญฯ โดยใช้เงินกู้ระยะยาวจำนวน 25 ล้านเหรียญฯ กับสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกา และยอดคงเหลือจากเงินคงค้างภายในบริษัทย่อยที่สหรัฐอเมริกา รวมถึงเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทจากบริษัทย่อยในตุรกี โครงการนี้คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาส 2 ปี 2567/68 (ก.ค.-ก.ย. ปี67/68) เป็นต้นไป

โครงการแรก คือ สายการผลิตแผ่นฟิล์ม BOPET ชนิดบาง
มีกำลังการผลิต 50,000 ตันต่อปี ส่งผลให้กำลังการผลิตรวมของ PU
เพิ่มขึ้นเป็น 81,000 ตันต่อปี สะท้อนถึงการขยายตัวของธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ
เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดทั่วโลก
โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์
ขณะเดียวกัน PU ยังได้ดำเนินโครงการ
Debottleneck เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกจากเดิม 58,000
ตันต่อปี เป็น 86,000 ตันต่อปี
ซึ่งจะช่วยเสริมความสามารถในการผลิตแบบครบวงจร
และสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้สูงขึ้น
พร้อมตอบโจทย์ลูกค้าในตลาดอเมริกาเหนือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยการลงทุนและขยายกำลังการผลิตในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของ PTL ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจในระดับโลก และเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ระยะยาว
ทั้งนี้
ผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัยเชิงบวก
โดยเฉพาะการฟื้นตัวของอุปสงค์ในกลุ่มฟิล์มเคลือบปลายน้ำ เช่น ฟิล์มเคลือบซิลิโคนและฟิล์มเคลือบออฟไลน์
ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการขายและการสนับสนุนจากธุรกิจปลายน้ำเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้งในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้
ธุรกิจฟิล์มหลักอย่าง BOPET ทั้งแบบบางและหนา
มีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น จากสภาวะตลาดที่เอื้ออำนวย ขณะที่ธุรกิจฟิล์ม BOPP
ก็มีปริมาณและอัตรากำไรที่สูงขึ้นเช่นกัน
สะท้อนจากปริมาณการขายฟิล์มโดยรวมที่เพิ่มขึ้น 2.1 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน
โดยเฉพาะในกลุ่มฟิล์ม BOPP
และฟิล์มปลายน้ำ
ด้านธุรกิจแผ่นฟิล์ม PET มีผลประกอบการที่ดีขึ้น
ส่วนหนึ่งมาจากอัตรากำไรที่สูงขึ้นตามสภาวะตลาด ขณะเดียวกัน ผลตอบแทนจากฟิล์มเคลือบซิลิโคน
ฟิล์มเป้าและเม็ดพลาสติก PET ก็เพิ่มขึ้น
จากทั้งปริมาณที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรที่ดีขึ้น
โดยเฉพาะฟิล์มเคลือบซิลิโคนที่เติบโตเด่น
ขณะที่ต้นทุนขายปรับเพิ่มขึ้นจากปริมาณขายที่สูงขึ้น
และราคาวัตถุดิบบางรายการที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
รวมถึงค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงและวัสดุอะไหล่ที่มากขึ้น
ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายปรับสูงขึ้นตามอัตราค่าระวางขนส่งระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารสูงขึ้นจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญของบริษัทย่อยในไทย
รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง การบริหารจัดการคลังสินค้า
และค่าตอบแทนพนักงานที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี
บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ตรงข้ามกับปีก่อนที่มีผลขาดทุน
โดยเกิดจากการปรับมูลค่าเงินกู้สกุลต่างประเทศในไทยและสหรัฐฯ
ขณะเดียวกันมีผลขาดทุนบางส่วนจากการปรับมูลค่าเงินกู้ที่อินโดนีเซีย
เนื่องจากค่าเงินท้องถิ่นผันผวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์และยูโร
นอกจากนี้บริษัทยังได้รับกำไรจากเครื่องมืออนุพันธ์
เนื่องจากผลของการประเมินมูลค่า Mark to Market (MTM) ของสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าที่ไทยและบริษัทย่อย
ขณะที่รายได้ทางการเงินจากบริษัทย่อยที่สุราษฎร์ธานีลดลง
จากอัตราดอกเบี้ยและจำนวนเงินลงทุนที่ลดลง
ด้านต้นทุนทางการเงินลดลงตามอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทั่วโลก
และการชำระคืนเงินกู้ทั้งจากไทยและอินโดนีเซีย
ซึ่งบางส่วนถูกชดเชยด้วยต้นทุนกู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนที่สูงขึ้น พร้อมกันนี้
บริษัทเตรียมปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 เมษายน2567
ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมาและกำไรสะสม
เป็นเงินสด 0.20 บาทต่อหุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิ์ปันผล (XD) วันที่ 8 สิงหาคม 2568
และกำหนดจ่ายปันผล 27 สิงหาคม 2568
ทางด้านผลงานคุณภาพบริษัท
โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิต แผ่นฟิล์ม BOPP , Blown PP/PE และ แผ่นฟิล์ม CPP
ซึ่งผลิตในโรงงานแห่งใหม่ที่มีความทันสมัยพร้อมขนาดประหยัด
และผลิตภัณฑ์จากสายการผลิตปลายน้ำ (downstream) แบบครบวงจร อันได้แก่
สายเคลือบอลูมิเนียม (Metalizing) สายเคลือบซิลิโคน (Silicone Coating) (Offline Chemical Coadting) และสายเคลือบอัดขึ้นรูป (Extrusion Coating) และ Transfer Metallized paper ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี
พร้อมชูมาตรฐานการผลิตด้วย ISO
50001 และ OHSAS
18001การันตีคุณภาพสินค้าในระดับสากลอีกด้วย