TNR ปูพรมส่ง “PLAYBOY” ลงห้างวอลล์มาร์ท 4,000 แห่งในสหรัฐฯ ชูไทยบุกขยายช่องตลาดส่งร้านขายยากว่า 1,400 สาขาทั่วประเทศ

ไทยนิปปอนรับเบอร์ฯ ผู้นำตลาดถุงยางอนามัยรายใหญ่ของประเทศ เปิดแผนปี 63 ขยายตลาดสหรัฐฯ ส่งถุงยางอนามัย “PLAYBOY” วางห้างวอลล์มาร์ทกว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศ รุกเปิดร้านออนไลน์ในเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซชั้นนำของโลก www.amazon.com  ส่วนช่องทางจำหน่ายในประเทศไทย ส่งร้านขายยากว่า 1,400 สาขาทั่วประเทศ

 นายอมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) TNR  กล่าวว่า บริษัทฯ มีศักยภาพความพร้อมด้านการผลิตถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติ มีกำลังการผลิตติดตั้ง 1,959 ล้านชิ้นต่อปี จากฐานการผลิตของโรงงาน 2 แห่ง ได้แก่ โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง มีกำลังการผลิตติดตั้ง 426 ล้านชิ้น และโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง จังหวัดชลบุรี มีกำลังการผลิตอีก 1,533 ล้านชิ้น เพื่อรองรับแผนดำเนินงานทางธุรกิจ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ การผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยภายใต้เครื่องหมายการค้า Onetouch ที่จำหน่ายผ่านผู้จัดจำหน่ายและตัวแทนจำหน่ายเพื่อกระจายสินค้าไปยังช่องทางต่าง ๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์และเวียดนาม) ประเทศอียิปต์ เป็นต้น


          กลุ่มธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น โดยบริษัทฯ เป็นผู้รับจ้างผลิตให้แก่บริษัทเอกชนและองค์กรเอกชน (NGOs) ทั้งในและต่างประเทศกว่า 100 ประเทศ ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป แอฟริกา อเมริกา ออสเตรเลียและแถบตะวันออกกลาง รวมถึงยังเป็นผู้รับจ้างผลิตถุงยางอนามัยให้กับ United Medical Devices ภายใต้เครื่องหมายการค้า PLAYBOY ทั่วโลกและเป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย และกลุ่มธุรกิจงานประมูล (Tender) ที่บริษัทฯ ได้เข้าร่วมการประมูลงานจากองค์กรภาครัฐและองค์กรเอกชน (NGOs) ทั้งในไทยและต่างประเทศ เนื่องจากมีกำลังการผลิตที่เพียงพอและมาตรฐานการผลิตที่มีคุณภาพสูง สามารถตอบรับหลักเกณฑ์ของธุรกิจการประมูลได้ ซึ่งออเดอร์ในส่วนนี้จะเข้ามาเติมเต็มการใช้กำลังการผลิตและต้นทุนการผลิตสินค้าต่อหน่วยที่ดีขึ้น
         ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TNR กล่าวว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายแผนดำเนินงานที่ต้องการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดถุงยางอนามัยภายใต้แบรนด์ Onetouch ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 35 เปอร์เซ็นต์ ของตลาดรวมภายในปี 2563 และบริษัทฯ ยังจะเร่งขยายตลาดไปสู่ประเทศใหม่ ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปเอเชียและแอฟริกา ที่ยังมีความต้องการใช้สินค้าและโอกาสขยายตลาดได้อีกมาก
         ด้านนายวรัญญู ดารารัตนโรจน์ รองผู้จัดการทั่วไป แผนกพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR กล่าวว่า คาดการณ์แบรนด์ PLAYBOY จะสร้างยอดขายในปีนี้ได้ไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาที่มียอดขายกว่า 280 ล้านบาท  ถือว่ายังมียอดขายที่น่าพอใจท่ามกลางภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว เนื่องจากจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าภาพรวมเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มค่อย ๆ ฟื้นตัว จะส่งผลดีต่อการรุกขยายตลาดตามแผนงานที่วางไว้ 

ทั้งนี้ สำหรับความคืบหน้าการขยายตลาดในสหรัฐฯ  สามารถแบ่งเป็น 2 ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางห้างค้าปลีกและร้านค้า ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ส่งผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัย PLAYBOY จำหน่ายในห้างวอลล์มาร์ทแล้วรวมมากกว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศ และยังได้รับสิทธิ์เพิ่มพื้นที่ขายสินค้าเป็น  9 รุ่น จากเดิม 4 รุ่น นอกจากนี้เพิ่งได้รับคำสั่งซื้อสินค้าล็อตใหญ่จากตัวแทนจำหน่ายในประเทศสหรัฐฯ และในขณะเดียวกันได้รุกขยายช่องทางจำหน่ายเพิ่มเติมภายในร้านขายยาภายใต้แบรนด์ CVS ที่มีสาขาส่วนใหญ่อยู่ในย่านใจกลางเมืองอีกด้วย 

ขณะที่ช่องทางออนไลน์ในสหรัฐฯ นั้น ปัจจุบันได้รุกเปิดร้านออนไลน์ในรูปแบบ Shop in Shop ภายในเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซชั้นนำของโลก www.amazon.com ได้เพิ่มทางเลือกแก่ลูกค้าโดยนำเสนอสินค้ารุ่นบรรจุกล่องละ 12 ชิ้น และปัจจุบันได้รับคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มเติมรวมมูลค่าประมาณกว่า 20 ล้านบาท  โดยเตรียมส่งออกสินค้าจากประเทศไทยไปยังสหรัฐฯ ภายในเดือนตุลาคมปี 2563

นอกจากนี้ ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้แต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายต่างประเทศเพิ่มเติมอีก 2 ประเทศ ได้แก่ ประเทศเวเนซูเอล่า และมองโกเลีย รวมถึงอยู่ระหว่างเจรจาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในทวีปยุโรปอีก 5-6 ประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม บัลแกเรีย ลักเซมเบิร์ก โรมาเนีย เป็นต้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ PLAYBOY มีตัวแทนจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 30 ประเทศ 

ส่วนความคืบหน้าการขยายช่องทางจำหน่ายในประเทศไทยนั้น ล่าสุดได้ขยายช่องทางจำหน่ายผ่านร้านขายยาในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มยอดขายในภูมิภาคต่าง ๆ โดยในปีนี้สามารถนำสินค้าวางจำหน่ายในร้านขายยาแบบดั้งเดิมและเชนร้านยาได้แล้วทั้งสิ้นกว่า 1,400 สาขา และยังมีแผนขยายช่องทางจำหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันยอดขายสินค้าเป็นไปตามเป้าหมาย