เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ เข้าตลาดหลักทรัพย์ เตรียมระดมทุนขยายธุรกิจขึ้นสู่ผู้นำอุตสาหกรรมเครื่องนอนผลิตจากยาพารา 100 เปอร์เซ็นต์

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์หรือไฟลิ่งของ บริษัท เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LS ตามแผนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai เตรียมเสนอขาย IPO จำนวน 132.43 ล้านหุ้น ตอกย้ำความเชื่อมั่นธุรกิจแข็งแกร่งและโอกาสการเติบโตจากกระแสความนิยมในธุรกิจเครื่องนอนยางพาราธรรมชาติ

นางปทุมพร ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ LS  เปิดเผยว่า LS นับเป็นบริษัทเครื่องนอนที่ผลิตจากยางพาราธรรมชาติรายแรกที่เตรียมเข้ามาระดมทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ซึ่งบริษัทมีวิสัยทัศน์และเป้าหมายการดำเนินธุรกิจขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำของอุตสาหกรรมเครื่องนอนที่ผลิตจากยางพาราธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ ในระดับสากล และมุ่งหวังที่จะเป็นผู้ผลิตที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่มีคุณภาพสูงและได้รับการยอมรับในระดับโลก

สำหรับภาพรวมธุรกิจของบริษัทในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจผลิตที่นอน, หมอน, และผลิตภัณฑ์อื่นที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ แบบไม่ติดตราสินค้า(ธุรกิจ Non-Brand) โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจดังกล่าวประมาณ 96.86เปอร์เซ็นต์ ของรายได้จากการขายรวม และกลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายที่นอน, หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ 100เปอร์เซ็นต์ ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท(ธุรกิจ Brand) ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นในการรุกตลาดดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 3.14เปอร์เซ็นต์ของรายได้จากการขายรวมในปี 2561 เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีความต้องการแตกต่างกัน

ปัจจุบันบริษัทใช้ตราสินค้า Latex Systems และมีแผนใช้ตราสินค้า Sleepertist เพื่อรองรับลูกค้าเป้าหมายที่มีระดับรายได้สูง ตราสินค้า TNF เพื่อรองรับลูกค้าเป้าหมายที่มีระดับรายได้ปานกลาง อีกทั้งบริษัทยังมีแผนใช้ตราสินค้า Nap & Night เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีระดับรายได้น้อยเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทสามารถครอบคลุมส่วนแบ่งการตลาดและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

บริษัทมีโรงงานผลิตสินค้าประกอบด้วย โรงงาน กม.36 ตั้งอยู่ที่ถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 36 จังหวัดฉะเชิงเทรา ผลิตสินค้าประเภทที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ 100เปอร์เซ็นต์ เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องนอนสำหรับเด็ก หมอนรองคอ เบาะพิงหลัง เบาะรองนั่ง และ หมอนข้าง เป็นต้น และโรงงานที่จังหวัดระยอง ผลิตสินค้าประเภทหมอนยางพารา ซึ่งบริษัทได้เข้าซื้อกิจการและรับโอนทรัพย์สินโรงงานดังกล่าวในช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2561

นอกจากนี้บริษัทยังมีโรงงานลาดกระบังผลิตสินค้าประเภทหมอนยางพารา ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติไม่ต่อสัญญาเช่าและหยุดการผลิตแล้วในเดือนพฤศจิกายนปี 2561 เนื่องจากเป็นโรงงานดั้งเดิม โดยสายการผลิตหมอนโรงงานระยอง จะมาทดแทนสายการผลิตหมอนโรงงานลาดกระบัง ส่งผลให้ในปี 2561 LS มีกำลังการผลิตที่นอนรวมประมาณ 68,640 ชิ้นต่อปี และมีกำลังการผลิตหมอนจากน้ำยางธรรมชาติอยู่ที่ 2,071,000 ชิ้นต่อปี

ขณะเดียวกันบริษัทเดินหน้าตามแผนการระดมทุนเพื่อเสริมการเติบโตทางธุรกิจโดยเครื่องนอนจากยางพาราธรรมชาติเป็นที่นิยมในตลาดโลกตามการขยายตัวของประชากร เศรษฐกิจ และกระแสการรักสุขภาพมากขึ้น จึงมุ่งเน้นการขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งในธุรกิจ Non Brand และธุรกิจ Brand รับโอกาสการเติบโต รวมถึงแผนการรุกตลาดใหม่ ๆ ทั่วโลกจากปัจจุบัน เราเป็นผู้ผลิตเครื่องนอนจากยางพาราธรรมชาติ 100เปอร์เซ็นต์ ที่ได้รับการยอมรับจากแบรนด์ชั้นนำ มีความแข็งแกร่งในตลาดจีน และเกาหลีใต้

            ด้านนางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน LS เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ หรือ ไฟลิ่ง ของ LS เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดย LS วางแผนเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(mai) และจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก(IPO) จำนวน132,432,288 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 29.43 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้โดยจะจัดสรรหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นดังกล่าวใน TRUBB (Pre-emptive Right) จำนวนไม่ต่ำกว่า  10เปอร์เซ็นต์ หรือไม่น้อยกว่า 13,243,229 หุ้น แต่ไม่เกิน 20เปอร์เซ็นต์ หรือไม่เกิน 26,486,457 หุ้นของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้ และเสนอขายให้กับประชาชนสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 80เปอร์เซ็นต์ หรือไม่น้อยกว่า 105,945,831 หุ้น แต่ไม่เกิน 90เปอร์เซ็นต์ หรือไม่เกิน119,189,059 หุ้นของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้