สู่ปีที่ 36 มูซาชิ ออโต พาร์ท ลุยผลิตรองรับอุตฯยานยนต์โต

มูซาชิ ออโต พาร์ท ก้าวสู่ปีที่ 36 อย่างมั่นคง เดินแผนพัฒนาคุณภาพการผลิตด้วยมาตรฐาน ISO 9001/TS 16949 /OHSAS 18001 และ ISO 14001 รองรับลูกค้าในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ด้านทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์มั่นเติบโต 5.5 เปอร์เซ็นต์ปี 2566

บริษัท มูซาชิ ออโต พาร์ท จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ อะไหล่ เครื่องจักร ดำเนินธุรกิจครบรอบปีที่ 35 ก้าวสู่ปีที่ 36  มีโรงงาน 2 แห่งตั้งอยู่ที่จังหวัดปทุมธานีและปราจีนบุรี ปัจจุบันผลิตจำหน่ายให้กับลูกค้าในประเทศ 90 เปอร์เซ็นต์และอีก 10 เปอร์เซ็นต์ส่งลูกค้าต่างประเทศ ในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ ได้แก่ ฮอนด้าและซูซูกิ เป็นต้น

บริษัทฯ มีนโยบายหลักที่กำหนดไว้โดยคิดค้นการผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ สร้างเสริมความไว้วางใจจากคนทั่วโลก ด้วยเครื่องจักรอันทันสมัย  ขณะเดียวกันด้วยจิตวิญญาณของบริษัทฯซึ่งยึดลูกค้าเป็นหลัก ซื่อสัตย์ สุจริต ค้นหาสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้กำหนดขึ้นเพื่อให้โรงงานในเครือที่อยู่ในความดูแลของบริษัทฯยึดปฎิบัติเป็นแนวทางเดียวกันอย่างเคร่งครัด

            ด้านการผลิตสินค้าบริษัทฯให้ความสำคัญในทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อให้ได้ตรงตามมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยการนำระบบการจัดการด้านคุณภาพสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ISO 9001 และ TS 16949 มาใช้ในการผลิตอย่างต่อเนื่อง

            นอกจากนี้บริษัทฯยังได้รับการรับรองด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย OHSAS 18001และ ISO 14001 (Environmental management System) เป็นมาตรฐานสากลที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้าและเป็นที่ยอมรับทั้งในเชิงพาณิชย์และสังคม เนื่องจากการดำเนินการของระบบช่วยให้องค์กรสามารถวางนโยบายและวัตถุประสงค์ ข้อกำหนด กฎระเบียบต่างๆ ด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงองค์กรสามารถควบคุมและแก้ไขปัญหา ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดจนกระบวนการทำงานอื่นๆ

  สำหรับมูซาชิกรุ๊ป มีการพัฒนาจนกลายเป็นบริษัทฯระดับโลกแล้วแต่ก็ยังไม่หยุดการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นเพื่อความอยู่รอดในตลาดโลก และทำให้เห็นว่าเป็นเอกลักษณ์ของมูซาชิกรุ๊ป ภายใต้คำขวัญที่ว่า “มูซาชิแบรนด์ระดับโลก”

อย่างไรก็ตามสิ่งที่บริษัทฯตระหนักอยู่เสมอคือทุกชิ้นส่วนที่ผลิตออกไปจะต้องสามารถตอบสนองการใช้งานได้มากที่สุด ซึ่งไม่มีสิ่งใดนอกจากการส่งและแปลงพลังงานประเภทต่างๆให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่นการเลือกใช้ทรัพยากรและพลังงานเพื่อสร้างคุณค่าที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม การสร้างความแตกต่างระหว่างตัวเรากับคนอื่นๆอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงผนวกรวมความแตกต่างเหล่านั้นเข้ากับการเติบโตของบริษัทฯและมุ่งมั่นที่ให้พนักงานเติบโตไปพร้อมๆกับบริษัทเช่นกัน

           ทั้งนี้จุดเริ่มต้นของกลุ่มมูซาชิ ดำเนินธุรกิจโดยการผลิตชิ้นส่วนคาร์บูเรเตอร์สำหรับเครื่องบินในปี 2526 และเปลี่ยนไปผลิตชิ้นส่วนเครื่องหว่านหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองในปี 2499 เริ่มผลิตชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์และย้ายไปอยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์บริษัทฯได้สร้างระบบ Monozukuri แบบเดิมขึ้นด้วยระบบการผลิตแบบครบวงจรเทคโนโลยีการผลิตด้วยความแม่นยำและระบบการผลิต การขายทั่วโลกรวมทั้งความสามารถในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทำให้ปัจจุบันบริษัทฯได้รับการตอบรับจากลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์มาอย่างต่อเนื่อง

ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ปี 66    

ยอดผลิตรถยนต์ปี 2566 คาดจะเติบโตต่ออีก 5.5 เปอร์เซ็นต์ สู่ระดับ 1.9 ล้านคัน หลังปี  2565 เติบโต 6.7 เปอร์เซ็นต์ สู่ระดับ 1.8 ล้านคัน โดยยอดผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศ จะได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจไทยปี 2566 ที่ประเมิน GDP จะเติบโต 3.2 เปอร์เซ็นต์ (เทียบกับปี 2565 จะโต 3.2 เปอร์เซ็นต์ ) และการบริโภคภาคเอกชนคาดจะเติบโต 4 เปอร์เซ็นต์ ส่วนยอดผลิตรถยนต์เพื่อส่งออก คาดจะได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจโลกปี 2566 ซึ่ง IMF คาดจะเติบโต 2.7 เปอร์เซ็นต์ (เทียบปี 2565 จะโต 3.2 เปอร์เซ็นต์) โดยเฉพาะตลาดส่งออกรถยนต์ของไทยคือ Emerging and Developing Asia จะโต 4.9 เปอร์เซ็นต์ (เทียบปี 2565 จะโต 4.4 เปอร์เซ็นต์) 

ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าหมายผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 225,000 คัน หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ ของยอดผลิต ดังนั้น มาตรการของรัฐบาลจึงให้เงินอุดหนุน ลดภาษีนำเข้า และลดภาษีสรรพสามิต จะทำให้รถยนต์ BEV ถูกลงประมาณ 2.26-2.47 แสนบาท เงื่อนไขการรับสิทธิ์นี้ ค่ายรถยนต์ผู้ผลิตต้องผลิตรถชดเชยให้เท่ากับจำนวนที่นำเข้า ซึ่งค่ายรถยนต์ MG , GWM, BYD , PTT & Foxconn มีแผนจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2567 จะช่วยเพิ่มยอดขายหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์

บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ให้น้ำหนักกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์เท่าตลาด โดยคาดยอดผลิตรถยนต์ในปี 2566 จะเติบโตไม่สูงนัก 5 เปอร์เซ็นต์ สู่ระดับ 1.9 ล้านคัน ได้แรงหนุนจากการเติบโตของการบริโภคในประเทศ และตลาดหลักส่งออกรถยนต์ของไทย คือ ทวีปเอเชียและออสเตรเลีย ที่เศรษฐกิจมีการเติบโตสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้หุ้นที่ Cover คือ AH, SAT, STANLY มียอดขายที่เติบโตตามอุตสาหกรรมรถยนต์ โดย AH จะเติบโตเด่นสุด 10 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากได้รับคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มเติม 1,000-1,200 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 3-4 เปอร์เซ็นต์ ของประมาณการยอดขายปี 2566 และ ยังมีการเปิดโชว์รูมขายรถยนต์เพิ่ม