ศูนย์สิริกิติ์เตรียมปิด 3 ปีรีโนแวทครั้งใหญ่ เพิ่มศักยภาพ – มาตรฐานสู่ความเป็นสากล

นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็น.ซี.ซี.แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ( NCC) ผู้บริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เปิดเผยว่า ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์จะมีการปิดปรับปรุงอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้โดยได้จดหนังสือแจ้งให้ร้านค้าและบริษัทออร์แกไนเซอร์รวมถึงลูกค้าที่มาจัดงานภายในศูนย์ไปเรียบร้อยแล้ว

สำหรับแผนงานและรายละเอียดของโครงการใหม่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างสรุปกับทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะได้ข้อสรุปสุดท้ายในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ซึ่งกรอบการดำเนินงานกว้างๆน่าจะเป็นไปตามแผนเดิมที่วางไว้

การปิดปรับปรุงศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ในครั้งนี้คาดว่าจะใช้เวลา 3 ปี หากแล้วเสร็จจะมีพื้นที่การจัดงานเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 20,000 ตารางเมตร เป็นประมาณ 70,000 ตารางเมตร มีศักยภาพในการรองรับงานแสดงสินค้าและอีเวนต์ต่างๆเพิ่มเป็น 3 เท่าตัว และมีความทันสมัยและเป็นมาตรฐานสากลมากขึ้น เป็นการตอกย้ำให้ประเทศไทยก้าวสู่ความเป็นผู้นำในธุรกิจประชุม สัมมนา และจัดนิทรรศการของภูมิภาคอาเซียน

ด้านนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า ทางบริษัทเอกชนที่บริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์น่าจะอยู่ระหว่างเตรียมพร้อมเดินหน้าสัญญาใหม่เนื่องจากโครงการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระยะที่ 3 จะเป็นการต่อสัญญากับเอกชนรายเดิมตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งโครงการที่จะต่อสัญญามีมูลค่าลงทุนราว 6,000 ล้านบาท หากมีการลงนามทางเอกชนก็คงเริ่มก่อสร้างทันที

ขณะนี้ทางอัยการได้ตรวจร่างสัญญาเสร็จเรียบร้อยแล้วซึ่งมีการปรับแก้ไขร่างสัญญาบางส่วน ดังนั้นจึงต้องส่งให้ทางคู่สัญญาพิจารณาก่อน ทั้งนี้ หากเอกชนพิจารณาแล้ว ไม่มีข้อขัดข้องก็เดินหน้าต่อได้ โดยกรมธนารักษ์จะเสนอ รมว.คลังเห็นชอบ จากนั้นก็สามารถลงนามกันได้ เมื่อลงนามแล้วเอกชนก็คงเร่งดำเนินการก่อสร้าง

ทั้งนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแก้ไขสัญญาการบริหารและดำเนินกิจการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยการแก้ไขสัญญาดังกล่าวจะปรับอายุสัญญาเช่าเป็น 50 ปี จากเดิม 25 ปี และปรับปรุงการก่อสร้าง โดยดัดแปลงอาคารศูนย์ประชุมเดิม ให้มีพื้นที่ศูนย์การประชุม พื้นที่เพื่อการพาณิชย์และที่จอดรถ รวมไม่น้อยกว่า 1.8 แสนตารางเมตร มูลค่าลงทุนกว่า 6,000 ล้านบาท แทนการก่อสร้างโรงแรม 4-5 ดาว รวม 400 ห้อง ตามสัญญาเดิม เนื่องจากติดปัญหาข้อกฎหมาย