ช.การช่าง คว้า“Thailand Sustainability Investment 2020 (THIS)” ตอกย้ำภาพลักษณ์บริหารงานสู่ความยั่งยืนทุกมิติ

บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK) คว้ารางวัล Thailand Sustainability Investment 2020 (THSI) ตอกย้ำภาพลักษณ์บริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน มีผลประกอบการที่เข้มแข็งสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้อย่างมั่นคง

นางสาวสุภามาส ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ CK เปิดเผยว่า ถึงแม้จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทไม่ได้รับผลกระทบทางตรงแต่อย่างใดต่อรายได้ก่อสร้างและได้รับผลกระทบทางอ้อมเล็กน้อยจากการลงทุนเท่านั้น เนื่องจากมีแผนบริหารความเสี่ยงและแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ Business Continuity Plan ที่ชัดเจนสำหรับการดำเนินธุรกิจทั้งในโครงการก่อสร้างและสำนักงานใหญ่ พร้อมแนวปฏิบัติในการดูแลความปลอดภัย สุขอนามัยอย่างเต็มที่

 “สำหรับโครงการก่อสร้างของภาครัฐบริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าจะมีอีกหลายโครงการที่มีความพร้อม สามารถเปิดประกวดราคาในปี 2564 อาทิ รถไฟฟ้าสายสีม่วงด้านใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ มูลค่า 1 แสนล้านบาท โครงการรถไฟทางคู่ จำนวน 3 สาย ได้แก่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ, สายบ้านไผ่-นครพนม และสายขอนแก่น-หนองคาย รวมมูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบางใน สปป.ลาว ที่บริษัทฯ ได้เข้าร่วมลงทุนซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้เร็ว ๆนี้  ซึ่งโครงการเหล่านี้จะช่วยเสริมมูลค่าBacklog ขึ้นมาอย่างน้อย 150,000-200,000 ล้านบาทในปี 2564”

นางสาวสุภามาส เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สำหรับการลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภคพื้นฐานของCK ได้แก่ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM หลังจากได้ต่อสัมปทานทางด่วนอีก 15 ปี 8 เดือน จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ ทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน A B C  ทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน D และทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด ประกอบกับการผ่อนคลายมาตรการการแพร่ระบาดของ COVID-19 ก็ทำให้ผลประกอบการดีขึ้นและกลับมาเป็นปกติ

นอกจากนี้ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP โรงไฟฟ้าทุกแห่งมีแนวโน้มที่จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ สามารถรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าไซยะบุรีและโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ 9 แห่งได้ครบอีกด้วย

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริหาร CK มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าร่วมลงทุนกับบุคคล และหรือนิติบุคคลอื่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทโดยการเข้าซื้อหุ้นสามัญ บริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์ จำกัด (LPCL) จาก บริษัท พีที จำกัดผู้เดียว (PTS) ซึ่งเป็นพันธมิตรในการร่วมพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) จำนวน 415,000 หุ้น ในราคาตามมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.24 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ของทุนจดทะเบียนของ LPCL คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 99,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเทียบเท่าจำนวน 3,137, 400 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง (โครงการ LPHPP) ที่แขวงหลวงพระบาง สปป.ลาว

สำหรับโครงการ LPHPP เป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำประเภทฝายทดน้ำขนาดใหญ่บนแม่น้ำโขง สปป. ลาว ด้วยการยกระดับน้ำให้สูงขึ้น โดยไม่มีการผันน้ำออกจากแม่น้ำโขงและไม่มีการกักเก็บน้ำเหมือนเขื่อนที่มีอ่างเก็บน้ำทั่วไป มีกำลังผลิตติดตั้งประมาณ 1,460 เมกะวัตต์ สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้เฉลี่ยประมาณปีละ 6,854 ล้านหน่วย และระยะเวลาสัมปทานประมาณ 32 ปี นับจากวันจ่ายไฟน้ำเชิงพาณิชย์

ปัจจุบันโครงการ LPHPP อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อพัฒนาโครงการ โดยในเบื้องต้นการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ LPHPP ทั้งด้านเทคนิค การเงิน และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแล้วเสร็จ และ ได้ผ่านกระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า (PNPCA) แล้ว

ขณะนี้อยู่ระหว่างการเริ่มเจรจาสัญญาหลักของโครงการ ได้แก่ สัญญาซื้อขายไฟฟ้า สัญญาสัมปทาน สัญญาสินเชื่อ และสัญญาก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จทั้งหมดภายในกลางปี 2564

CK ยังคงยืนหยัดบนการดำเนินธุรกิจด้วยการสร้างความยั่งยืนในทุกมิติของธุรกิจ บนแนวคิดการบริหาร The Power of Synergy ซึ่งเป็นการผสานจุดแกร่งจากธุรกิจในเครือของบริษัทเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ สามารถบริหารความเสี่ยงจากกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและรายได้จากการลงทุนในธุรกิจสัมปทานโครงสร้างพื้นฐานผ่านบริษัทในเครือ เพื่อสร้างความมั่นคงทางรายได้ให้แก่บริษัท

ขณะเดียวกันบริษัทยังมุ่งสนับสนุนการดำเนินโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ กิจกรรม CSR ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน สังคม ทั้งการใช้ศักยภาพด้านงานช่างและวิศวกรรมในการสร้างสรรค์กิจกรรม และการสนับสนุนทุนทรัพยด้านต่างๆ รวมทั้งมีการปกป้องดูแลสิ่งแวดล้อมในการปฏิบัติงานเพื่อลดผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจซึ่งจะเห็นได้ว่าการดำเนินเนินธุรกิจของช.การช่างนั้นล้วนมุ่งไปสู่การสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กร ชุมชนและประเทศชาติ เกิดการเติมเต็มวงจรแห่งความยั่งยืนในทุกมิติธุรกิจอย่างแท้จริง