บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับรางวัลยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ประจำปี 2568 (Asian Excellence Award) ตอกย้ำความเป็นเลิศในการดำเนินธุรกิจบนหลักความยั่งยืนอย่างสมดุล เป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ได้รับรางวัลสูงสุดมากถึง 8 รางวัล
ประกอบด้วยรางวัลซีอีโอยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย (Asia’s Best CEO), รางวัลซีเอฟโอยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย (Asia’s Best CFO), รางวัลซีเอสอาร์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย (Asia’s Best CSR), รางวัลนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม (Best Investor Relations Professional), รางวัลความยั่งยืนแห่งเอเชีย (Sustainable Asia Award), รางวัลบริษัทนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม (Best Investor Relations Company), รางวัลความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมยอดเยี่ยม (Best Environmental Responsibility) และรางวัลสื่อสารองค์กรยอดเยี่ยม (Best Corporate Communications) นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. ยังได้รับรางวัลภายในงานอีกด้วย
Asian Excellence Awards จัดโดย Corporate Governance Asia ซึ่งเป็นนิตยสารด้านการเงินของฮ่องกงและเอเชีย ที่มอบให้แก่ผู้นำและองค์กรในภูมิภาคเอเชียที่มีความโดดเด่นด้านการดำเนินงาน มีธรรมาภิบาล มีการจัดการทางด้านการเงิน นักลงทุนสัมพันธ์ และดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมที่ดี โดยพิจารณาจากข้อมูลองค์กรร่วมกับผลสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้ทรงคุณวุฒิ ทั่วภูมิภาคเอเชีย
นอกจากนี้ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ได้รับการจัดอันดับที่ 66 จาก 100 CEO ชั้นนำของโลก และอยู่ในอันดับที่ 4 ของผู้นำในกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซ ที่ส่งเสริมการสร้างมูลค่าแบรนด์องค์กรจาก Brand Guardianship Index 2025 โดย Brand Finance ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการประเมินมูลค่าแบรนด์ชั้นนำของโลก โดยได้รับคะแนน 76.4 จาก 100 คะแนน ในดัชนี Brand Guardianship Index ผลการจัดอันดับสะท้อนถึงคุณลักษณะที่สำคัญของ CEO ในด้านต่างๆ ได้แก่ 1. ใส่ใจพนักงานอย่างแท้จริง 2. เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก 3. มีความน่าเชื่อถือ 4. เข้าใจความต้องการของลูกค้า 5. เป็นผู้นำด้านความยั่งยืน 6. มุ่งเน้นคุณค่าในระยะยาว 7. มีกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน 8. เข้าใจความสำคัญของแบรนด์และชื่อเสียงองค์กร และ 9. มีไหวพริบทางธุรกิจ
นอกจากนี้ CEO ปตท. ยังได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 2 ของโลกด้านการรับรู้เรื่องความยั่งยืน ตามผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างประมาณ 5,000 คน ในกว่า 30 ประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำที่บริหารธุรกิจอย่างยั่งยืนในระดับโลก
โดยในปีนี้ ปตท. ยังคงได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ติดหนึ่งใน 500 แบรนด์แรกของโลกที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุด โดยอยู่ในอันดับที่ 249 สูงขึ้นจากอันดับ 267 ในปี 2567 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้รับการประเมินมูลค่าแบรนด์สูงกว่าเก้าพันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโตกว่าร้อยละ 11 ซึ่งมีเกณฑ์ในการพิจารณา อาทิ ผลการดำเนินงาน ความแข็งแกร่งของแบรนด์ และความยึดมั่นในแบรนด์ที่ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติ
ดร.คงกระพัน เปิดเผยว่า การได้รับการจัดอันดับบริษัทที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดของโลกเป็นผลเนื่องมาจากพันธกิจขององค์กรที่ชัดเจนในการมุ่งมั่นรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องบนหลัก ความยั่งยืนอย่างสมดุล ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมถึงการกำกับดูแลกิจการที่ดี ภายใต้วิสัยทัศน์ ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน ตลอดจนการสนับสนุนจากคนไทยทุกภาคส่วนที่ให้ความเชื่อมั่นในการดำเนินงานของ ปตท.
ส่วนแผนการลงทุนบริษัทตั้งงบลงทุนระยะ 5 ปี ระหว่างปี 2568-2572 จะใช้เงินลงทุน 54,463 ล้านบาท ในปีนี้ปตท.จะใช้งบลงทุนราว 25,627 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7 โครงการท่อขนส่งก๊าซฯบางปะกง-โรงไฟฟ้าพระนครใต้ และธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยงบลงทุน 5 ปี นี้ของปตท.มีวงเงินน้อยกว่าในอดีต และไม่มีการตั้งงบลงทุนในโครงการที่อยู่ระหว่างหาโอกาสลงทุนในอนาคตเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเคยตั้งไว้สูงถึง 1 แสนล้านบาท
แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทมั่นใจว่าเติบโตดีขึ้นกว่า 2567 ที่มีรายได้รวม3,090,453 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 90,072 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้น อาทิ ปตท.สผ.ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการขายปิโตรเลียม และต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำ แต่ราคาขายเฉลี่ยจะปรับลดลง ส่วนธุรกิจก๊าซฯจะมีการจองใช้ท่อส่งก๊าซฯและLNG Terminal สูงขึ้น โรงแยกก๊าซฯมีการใช้อัตราการผลิตเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนก๊าซฯคาดว่าสูงขึ้นด้วย