EA สรุปผลงานไตรมาส1/2561 กำไรพุ่ง 1.95 พันล้าน

EA ปิดงบไตรมาส 1/2561 กำไร 1,946.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 967.28 ล้านบาท หรือ 98.76 เปอร์เซ็นต์ ทะยอยติดตั้งใบพัดโรงไฟฟ้าหนุมาน คาดว่า COD ภายในสิ้นปีตามแผน ดันกำลังการผลิตไฟฟ้าขยับเพิ่มเป็น 664 MW หนุนรายได้-กำไร ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 1/2561 มีรายได้รวม 3,828.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,134.91 ล้านบาท หรือ 42.13เปอร์เซ็นต์ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,693.77 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,946.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 967.28 ล้านบาท หรือ 98.76เปอร์เซ็นต์ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 979.47 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามบริษัทได้รับปัจจัยหนุนจากการรับรู้รายได้โครงการหาดกังหันขนาดกำลังการผลิต 126 เมกะวัตต์ เต็มไตรมาสและมีกำไรทางบัญชีที่เกิดจากการเข้าซื้อหุ้นบริษัท Amita Technologies Inc. ประเทศไต้หวัน ในราคาซื้อที่ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมทางบัญชี จำนวน 894.58 ล้านบาท ซึ่งหากไม่นับรวมรายการทางบัญชีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจเท่ากับ 1,047.23 ล้านบาท

สำหรับความคืบหน้าในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม จังหวัดชัยภูมิ หรือ โครงการหนุมาน ขนาดกำลังการผลิต 260 เมกะวัตต์ โดยอยู่ในช่วงของการติดตั้งเสากังหันลมที่มีจำนวนทั้งสิ้น 103 เสา และได้เริ่มติดตั้งใบพัดบางส่วนแล้ว

“ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2561 บริษัทฯ จะจัดพิธีลงนามบนไบพัดขึ้น เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะชุมชนในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในความสำเร็จครั้งนี้ด้วย โดยคาดว่าการก่อสร้างทั้งหมดจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 และเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ ได้ในไตรมาสที่ 4/2561 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัท มีกำลังการผลิตไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มและวินด์ฟาร์มรวมทั้งสิ้น 664 เมกะวัตต์ ผลักดันรายได้ กำไร และกระแสเงินสดสูงขึ้นจนทำสถิติสูงสุดใหม่  และพร้อมที่จะรองรับการลงทุนในโครงการใหม่ๆที่บริษัทเตรียมการอยู่ในระยะถัดไป”

รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารEA เปิดเผยถึงแผนธุรกิจว่าในปี 2561-2562 บริษัทเตรียมใช้งบลงทุน 2.47 หมื่นล้านบาท โดยการลงทุนจะมีทั้งการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลม โครงการหนุมาน การตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่เฟสที่ 1 เพื่อนำไปใช้ในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเป็นหลัก การขยายการลงทุนและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในสายธุรกิจไบโอดีเซล ทำสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์จำนวน 1,000 สถานี และการทำ R&D เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ๆไปใช้ในการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันทั้งในประเทศและต่างประเทศามแผนการเติบโตในอนาคตของบริษัท

ในเรื่องของเม็ดเงินลงทุนที่ต้องใช้เป็นจำนวนกว่าสองหมื่นล้านบาทนั้นทางฝ่ายบริหารได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับไว้แล้วทั้งเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯเอง และการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน เงินทุนจากพันธมิตรที่เข้าร่วมทุน ซึ่งแน่นอนว่าแหล่งเงินทุนที่สำคัญที่คาดว่าจะมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำคือ การใช้บริการจากสถาบันการเงิน หรือการออกหุ้นกู้ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นเรียบร้อยแล้วด้วยวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามและที่สำคัญเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาบริษัทฯได้รับการเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือจาก TRIS โดยเพิ่มจาก BBB+ เป็น A- เป็นผลจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่เป็นไปตามเป้าหมายมาโดยตลอดและมีกระแสเงินสดที่ดีมาก จึงยิ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการแสวงหาเงินทุนด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ซึ่งจะยิ่งดีต่อแผนการขยายธุรกิจในอนาคตของบริษัท