เรียลแอสเสท โชว์ผลงานเด่นปี 62 เป้าหมายพุ่ง 2.7 พันลบ. แตกไลน์ธุรกิจจับมือเมเจอร์ฯเปิดโรงภาพยนตร์ระดับพรีเมี่ยม

เรียลแอสเสท วางเป้าปี62 ปิดยอดขาย-ยอดโอน 2.7 พันล้านบาท เปิดตัวใหม่ 2 โครงการแนวราบย่านกิ่งแก้วและบางนา แผนระยะยาวจัดโครงสร้างองค์กร ดึงออฟฟิศบิลดิ้งจากไทยซัมมิทเข้าพอร์ต เล็งโอกาสทางธุรกิจด้านโลจิสติกส์และการออกกำลังกาย พร้อมจับมือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เปิดตัวโรงภาพยนตร์ Real Asset IMAX @ Quartier Cine Art  เอาใจคอหนัง ด้านคุณภาพเข้ม ISO 9001:2015 การันตีลูกค้าไทย-เทศ

          นายบดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัดเปิดเผยว่าปัจจุบันเรียลแอสเสทมีการพัฒนาโครงการสะสม 12 โครงการ มูลค่ารวม1.4 หมื่นล้านบาทโดยยังอยู่ระหว่างขายประมาณ 7 พันล้านบาทเช่น โครงการเดอะ สเตจ เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์,ลาวีค สุขุมวิท 57, เอสทีค ทองหล่อ เป็นต้น

            ในปี 2562 เรียลแอสเสทยังคงมีแผนพัฒนาต่อเนื่อง โดยมีการเปิดตัว 2 โครงการแนวราบ ได้แก่ โครงการเซนส์ กิ่งแก้ว ทาวน์โฮมและบ้านแฝด เนื้อที่โครงการ 23 ไร่ จำนวน 150 ยูนิต มูลค่า 800 ล้านบาทและโครงการวิรัณยา บางนา บ้านเดี่ยวจำนวน 150 ยูนิต เนื้อที่โครงการ 40 ไร่ มูลค่า 1.9 พันล้านบาท

            ด้านเป้าหมายทั้งยอดขายและยอดรับรู้รายได้ตั้งเป้าเท่ากันที่ 2.7 พันล้านบาท โดยบริษัทมีแบ็กล็อกอยู่แล้ว 3.9 พันล้านบาท ซึ่งจะโอนภายในปีนี้ 2.2 พันล้านบาทจากโครงการลาวีค สุขุมวิท 57 คอนโดมิเนียมลักชัวรีราคาเริ่มต้นยูนิตละ 10.9 ล้านบาทที่เตรียมทยอยโอนหลังสร้างเสร็จช่วงปลายไตรมาส 3

            นายบดินทร์ธรกล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทฯได้ขยายความร่วมมือกับพันธมิตรมากขึ้นโดยล่าสุดได้จับมือกับบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เพื่อเข้ามาสนับสนุนหลักของโรงภาพยนตร์ IMAX แห่ง Quartier Cine Art ซึ่งมีเก้าอี้ที่นั่งสบายที่สุดในประเทศไทย นับเป็นความร่วมมือกันครั้งแรกระหว่างเรียลแอสเสทฯกับธุรกิจโรงภาพยนตร์

นอกจากนี้ยังเน้นย้ำในการสร้างสุนทรียภาพในการใช้ชีวิตสำหรับคนรุ่นใหม่ในเมืองจึงได้จับมือกับทางเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ปเปิดตัวโรงภาพยนตร์ Real Asset IMAX @ Quartier Cine Art ที่บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ซื้อห้องชุดโครงการคอนโดมิเนียมระดับบนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ซื้อยู่เองหรือเพื่อการลงทุนได้อย่างแน่อน

            นอกจากนี้บริษัทยังมีงบลงทุนซื้อที่ดิน 3 พันล้านบาท เพื่อจัดซื้อที่ดินเตรียมพัฒนาโครงการสำหรับปี 2563 คาดว่าจะมีการจัดซื้อที่ดินเนื้อที่ 4 ไร่ บริเวณถนนรัชดาภิเษก ราคาที่ดินราว 7 แสนบาทต่อตารางวา เตรียมพัฒนาเป็นโครงการแนวสูงมูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท เปิดขายในราคาประมาณ 1.5 แสนบาทต่อตารางเมตรและยังคงมองหาที่ดินเพิ่มเติมสำหรับพัฒนาบ้านแนวราบคาดว่าปี 2563 จะเปิดตัวได้อีก 3 โครงการ

            “เราพยายามจะขึ้นโครงการแนวสูงให้ถี่ขึ้นเป็นปีละ 1 โครงการ จากเมื่อก่อนมีการพัฒนาทุก 2-3 ปี เพื่อให้ยอดโอนเข้ามาสม่ำเสมอ ส่วนแนวราบต้องการเปิดให้ได้ปีละอย่างน้อย 2-3 โครงการ ส่วนที่ดินในพอร์ตของเรียลแอสเสท มีสะสมไว้ไม่มากนัก ปัจจุบันมีที่ดินเนื้อที่ 180 ไร่ที่ถนนกิ่งแก้วซึ่งกำลังทยอยแบ่งแปลงพัฒนา แต่ที่ดินและสินทรัพย์ที่ถือทั้งในนามไทยซัมมิทและในนามส่วนตัวของครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจยังมีอยู่ เช่น ที่ดินในจังหวัดชลบุรี ซึ่งถ้าหากมีความเหมาะสมก็สามารถโอนเข้ามาเพื่อพัฒนาได้” นายบดินทร์ธรกล่าว

            ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในแต่ละปีบริษัทยังมีเแผน‘restructure’ องค์กร ดึงพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ ให้เช่าที่น่าสนใจที่ยังอยู่ในนามไทยซัมมิทหรือนามบุคคลเข้ามาอยู่ภายใต้เรียลแอสเสท เพื่อจะเป็นฐานรายได้ที่ดีให้กับบริษัทโดยมีโครงการที่จ่อโอนย้ายคือตึกไทยซัมมิท ถนนเพชรบุรี มูลค่าโครงการราว 3 พันล้านบาทและออฟฟิศบิลดิ้งใน London ประเทศอังกฤษมูลค่าโครงการ 60 ล้านปอนด์ซึ่งถือในนามส่วนตัวของครอบครัว

            รวมทั้งยังมองหาสินทรัพย์อื่นๆ ที่จะเข้ามาเสริมพอร์ตรายได้ค่าเช่าก่อนเปิดไอพีโอ เช่น ธุรกิจโรงแรม แต่คาดว่าจะใช้กลยุทธ์ควบรวมกิจการมากกว่าพัฒนาใหม่ ซึ่งยังไม่ได้มีการเจรจาในตลาดแต่มองหาโรงแรมที่มีมูลค่าราว 4 พันล้านบาทอยู่ในขณะนี้

            “แผนระยะยาวบริษัทต้องการต่อยอดแนวคิดใหม่ให้กับธุรกิจในระยะ 3-5 ปีข้างหน้าพยายามดูอะไรที่ใหม่กว่าบ้านและคอนโดมิเนียม เช่น โลจิสติกส์ เพราะเทรนด์อี-คอมเมิร์ซกำลังมาแรง หรือพื้นที่สำหรับออกกำลังกายและกีฬาที่มาได้ทั้งครอบครัวและมีคุณภาพดีเนื่องจากตอนนี้พื้นที่แบบนี้ในกรุงเทพฯ มีแค่สวนลุมพินี สวนรถไฟ และสกายเลน สุวรรณภูมิ ครอบคลุมพื้นที่ไม่ได้ทั่วถึง เราจึงอยากดีไซน์พื้นที่แบบนี้ให้สังคมได้ใช้

             ประกอบกับแนวคิดด้านการใช้เทคโนโลยีในโครงการซึ่งกำลังศึกษาเทคโนโลยี AI ที่สนับสนุนระบบ Facial Recognition เพื่อนำมาใช้ในการสแกนใบหน้าลูกบ้านในโครงการ ช่วยรักษาความปลอดภัยและเพิ่มความสะดวก ซึ่งหวังว่าจะได้เป็นโครงการแรกในไทยที่มีระบบ Facial Recognition ใช้งานรวมถึงการใช้โดรนเพื่อดูแลความเรียบร้อยในโครงการ เช่น ใช้โดรนตรวจสอบสภาพสวนส่วนกลางในโครงการแนวราบที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งการใช้โดรนจะลดกำลังแรงงานคนสวนไปได้มาก

            สำหรับการทำงานบริษัทได้ดำเนินธุรกิจด้วยเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นเลิศด้านคุณภาพและประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กร จนได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพ ISO 9001:2015  เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยบริษัทตั้งเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพสินค้าและการบริการที่ดีโดยเน้น”ความพึงพอใจ ของลูกค้า” เป็นสำคัญ

บดินทร์ธรกล่าวตอนท้าย